Pages

Tuesday, October 25, 2011

ม้าพันธุ์ควอเตอร์

ม้าพันธุ์ควอเตอร์

ม้าพันธุ์ควอเตอร์หรือ ควอเตอร์ฮอร์ส หรืออเมริกันควอเตอร์ฮอร์ส เป็นม้าที่มีชื่อเรียกตามลักษณะ
การ แข่งระยะทางประมาณ ¼ ไมล์ ซึ่งเป็นระยะที่ม้าประเภทนี้สามารถทำความเร็วได้สูงสุด สถิติที่บันทึกเอาไว้ว่ากันว่าสามารถทำความเร็วได้ถึง 55 ไมล์ต่อชั่วโมง
(เกือบ 90 กม.ต่อ ชม.) ม้าพันธุ์นี้จัดเป็นม้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอเมริกาจนยุคปัจจุบัน และมีจำนวนม้าสายพันธุ์นี้ทั่วโลกที่ขึ้นทะเบียนไว้มากกว่า 5 ล้านตัว

ลักษณะ เด่นของม้าพันธุ์นี้คือ ล่ำสันบึกบึน สูงประมาณ 150-155 ซม. คอสั้น หน้าอกกว้างกำยำ สะโพกกลมบ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดอันมหาศาลของพละกำลัง เชื่อง เมื่อฝึกดีแล้วจะสงบนิ่งมาก เหมาะสำหรับ การขี่เล่นเพื่อสันทนาการ เช่น การขี่ข้ามภูมิประเทศ การขี่ม้าอ้อมถังเบียร์ หรือในการขี่ม้าจับลูกวัวของคนอเมริกัน
ประวัติม้าสายนี้เริ่มขึ้นเมื่อ ประมาณ ปี ค.ศ. 1600 ที่ขณะนั้นชาวประเทศสหรัฐอเมริกายังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ได้นำเข้าม้า เธอรัพเบรตจากฝั่งอังกฤษ ไปผสมกับม้าพื้นเมืองที่เรียกว่า จิ๊กกาซอว์ ที่มีสายเลือดมาจากม้าสายไอบีเรียน ม้าสายอาหรับและม้าสายสเปน โดยม้าที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษในตอนนั้นคือม้า เธอรัพเบรต ที่มีชื่อว่า ยานัส (Janus) ที่เกิดในปี 1746 ซึ่งเป็นหลานปู่ของม้าชื่อก็อดโดฟิน อาเบี้ยน (Godolphin Arabian) และได้ถูกนำเข้าไปยังรัฐเวอร์จิเนียเมื่อปี ค.ศ. 1756 เจ้ายานัส นี้ได้ส่งยีนส์ผ่านไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานทำให้มีผลผลิตของ ม้าแข่งเสี้ยวไมล์มากขึ้น และในขณะเดียวกันการแข่งม้าแบบเสี้ยวไมล์เริ่มได้รับความนิยม ในหมู่ประชาอาณานิคม และโดยที่สนามแข่งในอเมริกาที่มักจะมีช่วง ทางตรงสั้นๆ จึงทำให้เมื่อมีการแข่งขันครั้งใดม้าควอเตอร์ไมล์เหล่านี้มีชัยเหนือ เธอรัพเบรต อยู่เสมอ ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็ได้รับการเรียกขานว่าเป็นม้า ควอเตอร์ไมล์ และกลายเป็นควอเตอร์ฮอร์สในที่สุด
ในปี ค.ศ. 1800 เริ่มมีคนบุกเบิกไปทางตะวันตกของอังกฤษมากขึ้น ผู้คนเหล่านี้ต้องการม้าที่ทรหดอดทนต่อสภาพแวดล้อมมาใช้งาน จึงนำม้าสายพันธุ์ต่างๆมาเพาะเลี้ยง เช่นม้าของสเปน เม็กซิโก รวมทั้งม้าป่าพื้นเมือง และม้าของชนเผ่าอินเดียนแดง เช่นเผ่าโคมันเช่ เผ่าโชโชนิ และเผ่า นีซ เพิร์ซ( Nez Perceไม่รู้ว่าอ่านอย่างนี้หรือเปล่า) ดังนั้นจึงนำม้าควอเตอร์ไมล์ไปผสม จนพบว่าลูกม้าที่ได้มีลักษณะเด่นที่เรียกว่า 'cow sense ' หรือม้าที่มีลักษณะเด่นด้านการต้อนวัว หรือรู้ใจวัวมากที่สุด
ในประมาณ ปี ค.ศ. 1940 เหล่าคนเลี้ยงม้าอเมริกันได้รวมตัวกันจัดตั้งสมาพันธ์ม้าควอเตอร์ขึ้น และเมื่อจัดทำสมุดประวัติทะเบียนม้าขึ้นมาในสมุดประวัติทะเบียนม้าจะมีหน้า สำหรับจดทะเบียนมาตรฐานและจัดทำหน้าพิเศษ(Appendix) ให้ม้าที่เป็นลูกผสมกับม้าควอเตอร์กับม้าสายพันธุ์เธอรัพเบรต ได้มีโอกาสขึ้นทะเบียนด้วยเหล่านี้ โดยในระยะแรกถือว่าลูกม้าเหล่านี้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน 100 % แต่จะสามารถยอมรับได้เมื่อมีรูปทรง (Conformation) ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีผลงานการแข่งขันที่โดดเด่น ก็จะได้รับการบรรจุชื่อเข้าไปในสมุดประวัติทะเบียนมาตรฐานทันที
การจัด ทำสมุดประวัติที่เปิดโอกาสให้ม้าที่มีเชื้อสายพันธุ์อื่นสามารถเข้าจด ทะเบียนได้นั้น (Open Stud Book) ไม่ใช่สิ่งใหม่และจัดเป็นเรื่องปกติในอเมริกา และทะเบียนประวัติม้าของเขาก็ไม่ถือว่าเป็นไบเบิลแบบเป๊ะๆ ม้าที่เป็นลูกผสมสายอื่นเช่น แอพพอลูซ่า อาหรับ คริโอโร ฯ ก็ยังมีโอกาสได้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว ม้าพันธุ์ใหม่ชื่อพันธุ์ว่า อัสเตก้า ที่เป็นลูกผสมของควอเตอร์และอันดาลูเชี่ยนก็ยังสามารถนับญาติมาเป็นควอเตอร์ ได้เลย
พ่อพันธุ์ที่เป็นต้นกำเนิดของม้าควอเตอร์สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น ม้าชื่อ เจ้าสตีลดัส (Steel Dust) ที่เกิดที่เมืองอิลลินอยย์ เมื่อ ค.ศ. 1843 หลังจากนั้นจึงถูกนำไปที่เท็กซัส ม้าตัวนี้สูงประมาณ 15 แฮนด์ และหนักประมาณ 550 กก. โดยเจ้าสตีลดัสนี้หากแกะรอยตามสายเลือดไปก็จะพบว่าเป็นลูกหลานของเซอร์ อาร์ชี (Sir Archy) พ่อม้าที่มีสายเลือด เธอรัพเบร็ต ในระยะเริ่มต้นที่เจ้าสตีลดัสผลิตทายาทออกมาและยังไม่มีชื่อเรียกสายพันธุ์ อย่างเป็นทางการนั้น ม้าสายพันธุ์นี้จึงถูกเรียกว่าพันธุ์ สตีลดัส ไปพลางๆก่อน ภายหลังเมื่อมีการขึ้นทะเบียนและมีชื่อเรียกสายพันธุ์ม้าแล้วจึงเรียกว่าม้า ควอเตอร์ฮอร์ส
ในระยะที่สตีลดัสกำลังเป็นพ่อม้าอยู่นั้น ก็มีพ่อม้าเด่นตัวอื่นอยู่เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เจ้า คูเปอร์ บอททอม เจ้าโอลด์ ชิโลหรือ ชิโล (Shiloh) เจ้าล็อค ลอนโด และส่วนใหญ่ม้าเหล่านี้จะสืบเชื้อสายมาจาก เซอร์ อาร์ชี แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในปี 1889 ก็มีพ่อม้าโนเนมที่ชื่อ ทราเวลเลอร์ แต่ปรากฏว่าให้ลูกสุดสวยทุกตัว
พ่อม้าที่จัดได้ว่าเป็นพ่อม้าที่มี อิทธิพลสูงสุดต่อการผลิตลูกสายควอเตอร์คือ พ่อม้าชื่อเจ้า ปีเตอร์ แม็กกิว (Peter McCue) ซึ่งเป็นลูกม้าที่เกิดในปี 1895 โดยในระยะแรกได้ขึ้นทะเบียนเป็นม้าพันธุ์เธอรัพเบร็ต แต่ภายหลังพบว่าเขาเป็นสายเลือดของเจ้า ชิโล และหากตรวจสอบสายเลือดของเจ้าแม็กกิวนี้จะพบว่า ม้าที่ขึ้นทะเบียนก่อน เดือน ม.ค. 1948 พบว่าเป็นลูกหลานของเจ้าแม็กกิว 2,304 ม้า (จากจำนวนม้าทั้งหมด 11,510 ม้า) และม้าที่มีลูกรองลงมาจากเจ้าแม็กกิวก้คือเจ้า ทราเวลเลอร์นั่นเอง

0 comments:

Post a Comment

 
Design by Store su | Bloggerized by Laikeng - sutoday | Court