ขี่เสือ(ภูเขา)ไปควบม้าที่บ้านแม่สะลองใน
ฉากหลัง
วิวทัศน์สวยงามหลังฝนตกโปรยปรายน้อย พวกเรากำลังขี่ม้าสนุกบนดอยนางนอน
และบริเวณหลังภูใจใสรีสอร์ท ในบ้านแม่สะลอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย
ทริปขี่เสือ(ภูเขา)ไปควบม้าสนุกมาก...
....วันแรก(เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กย.4
พวกเราออกเดินทางทีแรกหวั่นใจ พอถามใครก็บอกว่า "ไม่ขี่ม้า"
โดยเฉพาะเฮียเปี๊ยก กับผู้พันมานพ
ออกตัวว่าไม่อยากขี่ม้าทำให้เราอึดอัดใจมาก เพราะคุยกับคุณสีหมอก
(เจ้าของสีหมอกฟาร์ม) ว่าจะมาเรียนขี่ม้าที่ฟาร์มกันทั้งหมด 5 คน
(นับรวมถึงอาหมง อาจี้กงหรือเฮียเผ่า) และอีกอย่างน้าหมงก็บอกว่า
ไม่ค่อยอยากพักกับเขา
แต่อยากพักเต้นท์และหุงกินข้าวเองมากกว่า...จนสุดท้ายพอเราปั่นจักรยานเข้า
ไปจากเมืองเชียงรายไปบ้านแม่สะลองในนับระยะทางประมาณ 50 กม.
ได้ไปเดินชมบริเวณฟาร์มม้าของคุณสีหมอก
และทุกคนก็ตัดสินใจมาร่วมกิจกรรมตามที่เราได้ตั้งใจไว้
โดยตั้งชื่อทริปนี้ว่า "ขี่เสือ(ภูเขา)ไปควบม้าที่บ้านแม่สะลองใน"
....เมื่อพี่บังอ้วนกลับมาแล้ว
ได้โทรเรียกเสือออยด้วยใช้วิธีขอคืนดีกันเดิม
จนเสือออยเข้าใจดีก็หายงอนกันแล้ว พี่บังอ้วนเล่าเรื่องไปเรียนขี่ม้าสนุกดี
ความจริงอยากจะพาเสือออยไปด้วย แต่แผนของเสือออยคลาดกันไปคนละทริป
เพราะไปเชียงใหม่คนเดียวเพื่อดูงานโอท้อปและเยี่ยมคุณเสือสาวเมืองหนาว
กับพี่ติ๋ว
พร้อมร่วมกิจกรรมในชมรมจักรยานวันอาทิตย์เชียงใหม่จัดทริปไปถ้ำเมืองออน 65
กม.
....พี่บังอ้วนส่งอัลบั้มภาพถ่ายให้เสือออยทำรายงานเล่าเรื่องให้เพื่อนชาว
thaimtb อ่าน เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้คุณสีหมอก เจ้าของสีหมอกฟาร์ม
เพราะค่าใช้จ่ายค่าอาหารม้าตัวละ 100 บาทต่อวัน
จึงต้องฝากให้เสือออยช่วยเหลือด้านประชาสัมพันธ์ชวนเพื่อนๆไปเรียนม้าชม
ภูมิประเทศกันนะคะ
นี่แหละ...พระขี่ม้าบิณฑบาต ที่ทำให้เกิด Unseen in Thailand ขึ้นมาเพื่อการอนุรักษ์ม้าไทยภูเขาความกันดารแห่งแผ่นดินดอย...มิใช่อุปสรรคแห่งธรรม
....ท่านพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต (ครูบาเสือโคร่ง) หรือฉายา "นักบุญแห่งขุนเขา"
ก็เคยเป็นอดีตทหารม้าเก่าผ่านศึกสมรภูมิมาแล้ว
ชาวบ้านก็เรียกท่านพระครูบาเหนือชัยว่า "ตุ๊เหมอ"
ท่านพระครูบาเหนือชัยได้แนะนำให้คุณสีหมอกไปช่วยไถ่ชีวิตม้าอันน่าสงสาร 2
ตัวแรกจากโรงฆ่าสัตว์ นำมาเลี้ยงม้าตัวนี้ไว้ในฟาร์มของคุณสีหมอก
เพื่อสร้างศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ม้าไทยภูเขา มีม้าแกลบ
(ก็ใช่ว่าเป็นม้าไทยภูเขาเหมือนกัน) อยู่ในความดูแลประมาณ 150 ตัว
แต่ของฟาร์มสีหมอกมีม้าอยู่ราว 60 ตัว
คุณสีหมอกจึงเปิดให้บริการขี่ม้าในภูมิประเทศ (XC)
ให้ผู้ที่ชอบการผจญภัยได้มาสัมผัสกับธรรมชาติของป่าเขาอย่างใกล้ชิด
....ช่วง
เวลาที่พี่บังอ้วนกำลังไปหาท่านพระครูบาเหนือชัยนั้น
ลูกพระวัดได้บอกว่าท่านป่วยเป็นไข้หวัดอยู่ เลยไม่ออกบิณฑบาต
จึงชวดถ่ายรูปพระขี่ม้า เลยปั่นจักรยานไปหาคุณสีหมอกฟาร์มอยู่ข้างล่าง
พระลูกสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทองกำลังขี่ม้าออกบิณฑบาต....เหตุ
นี้ท่านพระครูบาเหนือชัย
ได้นำเด็กชายที่เป็นลูกหลานของชาวเขาที่ยากจนและอยู่ห่างไกลความเจริญ
เข้ามาบวชเรียนเพื่อศึกษาพระธรรม
และเรียนหนังสือภาษาไทยพร้อมทั้งได้เรียนวิชาศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย
และการตีกลองสะบัดชัย
....ตามปกติท่านพระครูบาเหนือชัย
พาพระลูกเจ้าสำนักที่นี่ใช้ม้าแกลบเป็นพาหนะในการออกบิณฑบาตไปยังหมู่บ้าน
สี่หมื่นไร่ มีระยะทาง 5 กิโลกว่า โดยขี่ม้าลัดเลาะทุ่งหญ้า ป่าเขา
และลงห้วยลำธาร จึงเป็นภาพที่แปลกตาสะดุดใจของนักท่องเที่ยว
คุณสีหมอกกำลังให้ม้า "เมฆินท์"
ออกกำลังเพื่อลดความคึกคะนองก่อนจะเอาเจ้าเมฆินท์ให้พี่บังอ้วนขึ้นอาน
เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากม้าพยศได้ ....พี่บังอ้วนเล่าว่า
ม้าที่ผู้พันมานพขี่อยู่ชื่อ "เพชรขาว"
เป็นม้าแสนเชื่องดีมากกว่าเจ้าเมฆินท์ เจ้าเพชรขาวมาจากบ้านสามสูง
ชายแดนพม่า
วันที่คุณสีหมอกพาม้าตัวใหม่กลับบ้านระหว่างทางก็เกิดแผ่นดินไหวพอดี
จึงเรียกม้าสีขาวตัวนี้ว่า "เพชรขาวแผ่นดินสะเทือน"
ปัจจุบันเจ้าเพชรขาวมีอายุมากขึ้นกลายเป็นม้าพารามิโน คือ
ขนที่ตัวเป็นสีเหลือง แต่ขนแผงคอสีขาว
....เจ้าเมฆินท์ ม้าสีน้ำตาลเข้มดำที่พี่บังอ้วนขี่อยู่นั้น ดูเหมือนว่ายังตกอาการคึกคะนองอยู่...เสียวเมื่อไหร่มีอันตกอานม้าแน่
คุณสีหมอกกับชีวิตอิสระที่เลือกไว้แล้ว...น่าอจิฉาจัง....ม้าตัวนี้ชื่อ "สิงขร" เป็นม้าโปรดของคุณสีหมอก....วัน
แรกที่เริ่มขี่ม้าประมาณบ่ายสามโมงเย็น อากาศดีมาก ไม่มีแดด ฝนตกปรอยๆ
"เอ้า..เตรียมตัวให้พร้อมออกไปได้แล้วครับ"
คุณสีหมอกออกคำสั่งให้พวกเราถือสายบังเหยีนให้คันขึ้น ม้าจะวิ่งตามไปด้วย
พาพวกเราขี่ม้าขึ้นดอยผ่านหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ
เดินผ่านทุ่งหญ้าบางครั้งก็ควบผ่านนาข้าวไร่ของชาวบ้าน
พวกเราทุกคนต้องคอยดึงสายบังเหยีนให้ตึงขึ้นเพื่อไม่ให้ม้าเผลอไป
กิน(มั่ว)ข้าวของชาวบ้านปลูกไว้
"พร้อมแล้วครับ" พวกเราร้องลั่นคำรามเหมือนท้าแข่งม้าเร็วกัน
เมื่อพวกนักปั่นเสือภูเขากลายเป็นนักเรียนหัดขี่ม้าครั้งแรก
....จุด
เริ่มต้นการหัดขี่ม้าเล่น พวกเราได้ขึ้นอานม้าครบเครื่อง
รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจตลอดโดยเฉพาะคุณสีหมอกได้พาพวกเราขี่ม้าลุยห้วยลำธาร
น้ำตกเล็กในหุบเขา แต่พอขึ้นบกอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเนินสูงชัน
และแคบต้องให้ม้าควบด้วยความเร็วพอดี คิดว่าเร็วมากราว 40-50 กม./ชม.
เพื่อให้ม้ามีกำลังส่งโดดข้ามเนินสูงแต่ละคนโดนหนามไผ่เกี่ยวเข้ากลายเป็น
ของฝากรอยแผลกันถ้วนหน้า
เจ็บก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ...พี่บังอ้วนบอกพร้อมถลกชายกางเกงบริเวณหัวเข่า
ให้เสือออยดูพบว่ามีรอยเส้นสีเลือดแห้งเป็นรอยข่วน
เนื่องจากพวกเรานุ่งกางเกงขาสั้นไปถูกหนามไผ่ได้ทุกคนด้วย
บริเวณ
ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ม้าไทยภูเขาของสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง
มองจากด้านบนบริเวณถ้ำอาชาทอง ในพื้นที่หมู่บ้านแม่สะลองใน
ท่ามกลางฝนตกโปรยปรายตลอดวัน ....คุณสีหมอกให้แนะนำว่า ควรขี่ม้าช่วงเย็นดีกว่าช่วงเช้า
อากาศดีม้าไม่เครียด คนขี่ม้าก็ไม่ร้อน การขี่ม้าแค่ครึ่งวันกำลังดี
ถ้าขี่ม้าอยู่นานเกินไปจะพาลเข็ดขยาดไม่กล้าขึ้นขี่ม้าอีก
เพราะจะเจ็บก้นและปวดหลังคล้ายๆกับการหัดขี่จักรยานทางไกลใหม่ๆ
ต้องใช้เวลาหลายวันๆกว่าจึงจะปรับร่างกายเข้ากับการขี่ม้าได้ดี.
ผู้พันมานพยืนโอบสันคอเจ้าเมฆินท์อย่างเอ็นดู ....ม้า
ที่พวกเราขี่ม้าทุกตัวจะตามหลังม้าผู้นำ "สิงขร" ของคุณสีหมอกพาไป
หากคุณสีหมอกควบม้าตะบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราก็จะควบม้าให้ตามไล่ทันคุณสีหมอกได้
ตลอดทางคุณสีหมอกจะคอยอธิบายวิธีการต่างๆ
และอธิบายถึงภูมิประเทศอย่างรอบรู้ และเข้าใจธรรมชาติเป็นอย่างดี
พี่บังอ้วนกับเจ้าเมฆินท์...กลายเป็นเพื่อนเข้ากันได้ดี บอกว่า เจ้าเมฆินท์หายคึกคะนองแล้ว
จบทริปการเรียนรู้การขี่ม้าในฟาร์มสีหมอก
....จบ
การขี่ม้าในวันที่สองวันสุดท้าย ทุกคนบอกว่า เป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าจดจำ
และจะกลับมาอีกในโอกาสหน้าแน่
พี่บังอ้วนอยากให้เสือออยช่วยเขียนลงเฉพาะส่วนของสีหมอกฟาร์ม
เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้ทางสีหมอกฟาร์มได้มีลูกค้ารายใหม่ๆ มาใช้บริการ
ท่านผู้ใดสนใจการขี่ม้ากรุณาติดต่อกับคุณสีหมอก ประพันธ์วงศ์
เบอร์มือถือสายตรงที่ 01-7245818 และ 01-7967775
....พี่บังอ้วนบอก
เสือออยว่า รับรองราคาทริปขี่ม้าไม่แพงหรอก
ในราคามิตรภาพอันประทับใจดีจริงนะ เสือออยอยากไปเมื่อไหร่ให้พี่พาไปอีก
"แน่ใจหรอพี่"
เสือออยยิ้มด้วยได้ฟังเรื่องราวของพี่บังอ้วนไปเที่ยวมาแล้วค่ะ
ลืมบอกว่าแนบตำราคู่มือนักเดินทางไปด้วย
....สีหมอกฟาร์ม
ตั้งอยู่ที่บ้านแม่สะลองใน อ.แม่จัน เมืองเชียงราย
และใกล้สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทองเล็กน้อยๆ เป็นฟาร์มม้าคอกเล็กๆ
อยู่ติดกับบริเวณภูใจใสรีสอร์ท ห่างตัวเมือเชียงรายไป 50 กม.กว่า
พวกเราปั่นจักรยานแบบสิงห์บรรทุกไปขึ้นเนินสูงลงมาบ้างได้สนุกมาก
....หาก
ต้องการเรียนรู้ชีวิตในฟาร์ม
สามารถรับรองลูกค้าสนใจการขี่ม้าในภูมิประเทศได้เพียงไม่เกิน 6
คนต่อการขี่ม้า 1 ทริป โดยมีเส้นทางให้เลือกแบบครึ่งวัน และแบบเต็มวัน
หากเลือกแบบเต็มวันจะมีบริการอาหารกลางวันด้วย...เรื่องที่พัก
พี่บังอ้วนบอกว่ามีบ้านพักเป็นกระท่อมในฟาร์มสีหมอก คุณสีหมอกจะเลี้ยงน้ำชา
ข้าวให้กินตามสบาย
และที่ภูใจใสรีสอร์ทมีห้องพักหรูสบายแบบคนมีกะเป๋าหนักเท่านั้นเอาล่ะ
จบเล่าเรื่องสนุกได้เพียงพอแล้ว..คือว่ากล้องคอมแพ็คของพี่บังอ้วนถ่ายฟิลม์
ไปครึ่งม้วนยังไม่หมด
เลยตัดทอนส่วนรูปที่เหลือไม่เกี่ยวกับเรื่องเล่าหรอกค่ะ
0 comments:
Post a Comment